EXIM BANK แนะ 4 กลยุทธ์รับมือนโยบายภาษีแบบตอบโต้ พร้อมช่วยเหลือผู้ส่งออก
2025-05-30 HaiPress
EXIM BANK แนะ 4 กลยุทธ์รับมือนโยบายภาษีแบบตอบโต้ พร้อมช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบ
ความไม่ชัดเจนของนโยบายภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มการจัดเก็บภาษีจากประเทศคู่ค้าที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐในอัตราสูง ทำให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างต่อการค้าโลก โดยไทยก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน แต่ยังไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้อย่างชัดเจน จนกว่าจะครบกำหนดเส้นตายที่รัฐบาลสหรัฐฯ ผ่อนผันการบังคับใช้นโยบายภาษีในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ซึ่งอาจมีการประกาศอัตราภาษีศุลกากรรายประเทศใหม่อีกครั้ง
ผลกระทบระยะสั้นที่เกิดขึ้นแล้วคือ ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มชะลอการผลิตและการลงทุน เนื่องจากมีผู้นำเข้าบางส่วนชะลอการสั่งซื้อเพราะเกรงผลกระทบด้านราคา จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิต ทั้งการจ้างงาน การสั่งซื้อวัตถุดิบ เป็นต้น สำหรับไทยอยู่ในช่วงการนัดเจรจากับสหรัฐฯ และติดตามผลการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดเพราะหากอัตราภาษีที่ประเทศคู่แข่งการส่งออกของไทยเจรจาได้ต่ำกว่าไทย จะส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าทันที
ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย มีสัดส่วนการส่งออกราว 18% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดของไทย โดยข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่า ผู้ประกอบการ SMEs ไทยจำนวน 3,700 รายอาจได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าส่งออกราว 7,634 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่หากนับรวมความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อ Supply Chain ด้วย ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอาจมีมูลค่าสูงกว่านี้
“การลดความสำคัญของตลาดสหรัฐฯ และมุ่งมั่นหาตลาดใหม่ทดแทน ในระยะสั้นคงจะช่วยลดผลกระทบไม่ได้มากนัก เพราะไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูง ผู้ประกอบการส่งออกและนักลงทุนจึงจับตามองที่การเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ว่าจะมีข้อสรุปอย่างไร ซึ่งเรายังมีเวลาอีก 1 เดือน ที่จะดำเนินการให้เกิดความชัดเจน” ดร.เบญจรงค์ กล่าว
ดร.เบญจรงค์ กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้ส่งออกไทยจำเป็นต้อง “ตระหนัก แต่ไม่ตระหนก” และรับมือด้วย 4 กลยุทธ์หลัก ดังนี้
ใกล้ชิดคู่ค้าให้มากขึ้น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ผู้ส่งออกควรประสานงานกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อจับสัญญาณล่วงหน้า อาทิ ตรวจสอบว่าคำสั่งซื้อเดิมยังเป็นที่ต้องการหรือไม่ และเตรียมแผนรับมือหากภาษีเพิ่มขึ้นหลังวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 เช่น จำลองสถานการณ์ว่าภาษีในระดับใดที่ทั้งสองฝ่ายยังสามารถรับได้ ไม่กระทบกับต้นทุนและรายได้ของตัวเองมากเกินไปใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางการเงิน เมื่อค่าเงินผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงอย่างบริการสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Foreign Exchange Forward Contracts) เพื่อปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ช่วยให้ผู้ประกอบการไม่ต้องวิตกกังวลและสามารถบริหารจัดการธุรกิจในด้านอื่น ๆ อาทิ การลดต้นทุน และการบริหารห่วงโซ่อุปทานได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถใช้บริการประกันการส่งออก ซึ่งเป็นการทำประกันก่อนการส่งออก เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศขยายตลาดใหม่อย่างมีกลยุทธ์ การแสวงหาตลาดประเทศใหม่ ๆ อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายกว่าและมักถูกละเลยจากบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีอยู่แล้ว ปัจจุบันถือได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติเมื่อตลาดหลักของภาคส่งออกอย่างสหรัฐฯ และจีนต่างตกอยู่ในวังวนของสงครามการค้า ดังนั้น การแสวงหาตลาดประเทศใหม่ ๆ จึงเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็น โดยหากพิจารณาการส่งออกไปตลาดอื่นที่ขยายตัวดี อาทิ การส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบไปอาเซียนในไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ขยายตัว 17% ขณะที่การส่งออกคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบไปสหภาพยุโรป (EU) ขยายตัวถึง 65% รวมถึงเครื่องปรับอากาศไปตะวันออกกลางขยายตัว 39% ก็ยังพบว่ามีหลายตลาดที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถใช้กลไกภาครัฐ เช่น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และ EXIM BANK เป็นตัวช่วยในการเข้าสู่ตลาดใหม่เข้าใจนโยบายและติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ต้องเข้าใจสถานการณ์ให้ถ่องแท้ เนื่องจากนโยบายภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ มีรายละเอียด มีความซับซ้อน และมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ทั้งยังอาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติมหรือมีแนวมาตรการใหม่ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการจึงควรติดตามข้อมูลและสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถนำมาใช้ประเมินผลกระทบต่อธุรกิจและต้องติดตามข้อมูลของประเทศคู่แข่งด้วยว่าถูกเรียกเก็บภาษีสูงหรือต่ำกว่าไทย เพื่อวางกลยุทธ์และตลาดให้แก่สินค้าของตนเองต่อไป
“เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสชะลอตัวลงได้อีก ช่วงนี้จึงแนะนำผู้ประกอบการว่าไม่ควรเร่งสร้างหนี้ แต่ควรรักษาสภาพคล่อง และปิดความเสี่ยงเท่าที่ทำได้ ผู้ประกอบการที่มีวงเงินสินเชื่อ (Credit Line) เหลืออยู่ ต้องพยายามรักษาสถานะของวงเงินเอาไว้ เพื่อให้พร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น” ดร.เบญจรงค์ กล่าว
ทั้งนี้ EXIM BANK ได้ออกมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากนโยบายภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐฯ โดยจัดตั้งคลินิกผู้ประกอบการ (Export Clinic) เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ สนับสนุนทางการเงินด้วยมาตรการเยียวยาผ่านการขยายระยะเวลาการชำระหนี้สูงสุด 365 วัน รวมถึงมาตรการเสริมสภาพคล่องและการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขยายความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ พร้อมหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสนับสนุนผู้ประกอบการไทยไปลงทุนเพิ่มเติมและสนับสนุนการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยมิให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการภายในประเทศ ตามแนวนโยบายของรัฐบาลในระยะถัดไป
EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง พร้อมเร่งช่วยเหลือและเยียวยาลูกค้า ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศและการลงทุน เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุด ท่ามกลางมรสุมทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ