สรรพสามิต เดินหน้าเก็บภาษีความเค็ม ประเดิมขนมขบเคี้ยว เริ่มปี 68
2024-12-25 IDOPRESS
สรรพสามิต เดินหน้าเก็บภาษีโซเดียม ประเดิมขนมขบเคี้ยว เค็มมากจ่ายภาษีมาก เริ่มปี 68 น้ำปลา ซอส น้ำปลาร้า ยังรอด
น.ส.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า นโยบายภาษีภาษีสรรพสามิตจะเน้นสร้างความยั่งยืน โดยเฉพาะภาษีโซเดียม อยู่ระหว่างการศึกษาประเภทสินค้าสำเร็จรูปและกำหนดเกณฑ์ปริมาณโซเดียมที่จะจัดเก็บ ซึ่งจะเป็นภาษีที่ต้องการมุ่งเน้นด้านสุขภาพประชาชนเป็นหลัก โดยเบื้องต้นจะเริ่มเก็บภาษีจากสินค้าขนมขบเคี้ยวก่อน เนื่องจากไม่ใช่สินค้าจำเป็นสำหรับการบริโภค โดยอัตราภาษีจะกำหนดเป็นรูปแบบขั้นบันไดคล้ายกับภาษีความหวาน และให้ระยะเวลาปรับตัวแก่ผู้ประกอบการ
“การคิดภาษีจะวัดจะปริมาณโซเดียมในสินค้า หากสินค้าใดมีโซเดียมหรือความเค็มผสมมากก็จะเสียภาษีสูง แต่หากมีปริมาณน้อยก็จะเสียภาษีต่ำ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ได้ภายในปี 68 โดยเริ่มจากสินค้าที่ไม่มีความจำเป็นก่อน ส่วนสินค้าเครื่องปรุงรส เช่น น้ำปลา ซอสปรุงรส น้ำปลาร้า ที่เกี่ยวข้องกับประชาชน จะยังไม่มีการเก็บ ขณะที่ภาษีแบตเตอรี่ จะมีการปรับ โดยกำหนดเกณฑ์ภาษี ตามค่าประจุไฟฟ้าต่อน้ำหนัก และรอบการอัดประจุไฟฟ้า”
นอกจากนี้ ในด้านนโยบายการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการจัดเก็บภาษี อยู่ในระหว่างดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ประกอบด้วย
– การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้กลไกอัตราตามมูลค่า ซึ่งฐานภาษีสำหรับอัตราตามมูลค่าในปัจจุบัน คือ “ราคาขายปลีกแนะนำ” โดยการกำหนดหลักเกณฑ์การแจ้งราคาขายปลีกแนะนำให้เข้มงวดและรัดกุม การกำหนดหลักเกณฑ์การสำรวจและการจัดเก็บข้อมูลเพื่อพิจารณาฐานนิยม การปรับปรุงฐานข้อมูลด้านต้นทุนและค่าใช้จ่าย การกำหนดขั้นตอนการพิจารณาโครงสร้างราคาขายปลีกแนะนำให้ชัดเจน และใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน ตลอดจนการกำหนดราคาของกลางเพื่อใช้กระบวนการคำนวณเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
– การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่สามารถแสกน QR CODE เพื่อตรวจสอบการชำระภาษีผ่านการใช้ E-stamp สำหรับสินค้าสุรา ซึ่งเป็นการต่อยอดจากการใช้ E-stamp กับสินค้าบุหรี่ซิกาแรตที่ประชาชนสามารถตรวจสอบการชำระภาษีสำหรับสินค้าบุหรี่ซิกาแรตได้ โดยมีการจัดเก็บข้อมูล อาทิ ตราสินค้า รายละเอียดสินค้า ชื่อผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า วันที่ชําระภาษี สถานที่จัดส่ง และราคาสินค้า เป็นต้น โดยผู้ซื้อสามารถตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ว่าตรงกับสินค้าหรือไม่ และหากพบว่า ข้อมูลของสินค้ากับข้อมูลที่ปรากฏไม่ตรงกันผู้ซื้อสามารถ โทรฯ แจ้งมายังสายด่วนสรรพสามิต โทร. 1713 ได้ เพื่อกรมสรรพสามิตจะเข้าไปตรวจสอบต่อไป
ขณะเดียวกัน กรมสรรพสามิตยังคงมุ่งเน้นในการดำเนินนโยบายด้าน ESG อย่างต่อเนื่อง โดยต่อยอดการดำเนินงานเพื่อมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืน หรือ Sustainability เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย และปรับปรุงการทำงานให้เป็นองค์กรที่ทันสมัย โปร่งใส ตรวจสอบได้ ตลอดจนพัฒนาบุคลากรของกรมสรรพสามิตให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต