หอการค้าจี้รัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 68 ต่อเนื่อง ชี้หากไม่ทำอะไรเลย สาหัสแน่

2024-11-30 HaiPress

หอการค้าจี้รัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 68 ต่อเนื่อง ชี้หากไม่ทำอะไรเลย ส่อติดลบแน่ สารพัดปัจจัยเสี่ยงรอรุมเร้า ทั้งทรัมป์ 2.0 ขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ หนี้เน่าสูง แนะเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ก่อนถูกเพื่อนบ้านอาเซียนแซงหน้าหมด ส่วนปี 67 คาดโต 2.6% แจกเงินหมื่นเฟสแรกแทบไม่ช่วยดัน หลังโดนพิษน้ำท่วมหนัก

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ และธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 67-68 ว่า ได้ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 จะขยายตัวได้ 3% เพิ่มขึ้นจากปี 67 ที่คาดว่า ขยายตัว 2.6% เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนรายจ่ายภาครัฐ,การขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศ,การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยว และการส่งออก และเงินเฟ้อมีแนวโมชะลอตัวและมีเสถียรภาพ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากแนวโมการขยายตัวต่ำกว่าคาดของเศรษฐกิจโลกและปริมาณการค้าโลก,ภาระหนี้ครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง,ความเสี่ยงจากความผันผวนของภาคเกษตร,ความเสี่ยงจากการชะลอลงของเศรษฐกิจจีน และความเสี่ยงจากความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์

อย่างไรก็ตาม หากรัฐมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ทั้งการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับกลุ่มผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มาตรการแก้ปัญหาหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ให้กับเอสเอ็มอีและภาคครัวเรือนด้วยการพักชำระดอกเบี้ย 3 ปี รวมถึงมาตรการช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท รวมมูลค่าประมาณ 165,934 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.93% ของจีดีพีนั้น จะช่วยทำให้ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทยจากปัจจัยภายนอกลดลงได้

“หากปีหน้ารัฐไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง คาดว่า เศรษฐกิจไทยอาจไม่ขยายตัว เพราะจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ทั้งนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่คาดว่า กรณีแย่สุดหากสหรัฐฯขึ้นภาษีไทย 15% ไทยจะเสียรายได้จากการส่งออกสูงถึง 169,051.8 ล้านบาท และหากสงครามยูเครนขยายตัวสู่ระดับโลก เศรษฐกิจไทยจะเสียหาย 365,0478 ล้านบาท แต่ถ้ามีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าไป 165,934 ล้านบาท จะเติบโตได้ 0.9%”

ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เพื่อให้ขยายตัวได้ 4-5% ต่อไป ไม่เช่นนั้น ปี 68 ไทยจะตกไปอยู่อันดับ 3 ของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในอาเซียน จากปี 66 ที่อยู่อันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย โดยจะมีสิงคโปร์ขึ้นมาแซงหน้า และหากรัฐบาลไม่ดำเนินการใดๆ เลย คาดว่า ปี 71 เวียดนามจะแซงไทย ปี 73 จะเป็นฟิลิปินส์ และปี 81 มาเลเซีย

“ความห่วงใย คือ เศรษฐกิจไทยโตต่ำมาก ปี 66 อยู่อันดับ 2 ของอาเซียน รัฐบาลต้องปรับโรงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งภาครัฐรู้ดีว่า ต้องทำอย่างไร เพื่อทำให้โตได้ 4-5% เช่น ปรับโครงสร้างสินค้าส่งออก ปรับโครงสร้างการผลิตสินค้า พัฒนาทักษะแรงงาน ฯลฯ ถ้าไม่ทำอะไรเลย ในไม่ช้า จะตกเป็นอันดับ 5-6 ของอาเซียน และทำให้เสน่ห์ดึงดูดการลงทุนของไทยหายไป”

ส่วนการประเมินเศรษฐกิจไทยทั้งปี 67 จะเติบโตได้ 2.6% เนื่องจากภาคบริการเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก การบริโภคภาคเอกชนที่โตอย่างแข็งแกร่ง การส่งออกเติบโตได้ 4.6% แต่การลงทุนรวมยังโตต่ำ เพราะลงทุนเอกชนหดตัวมาก ส่งผลให้ลงทุนรวมแทบไม่ขยายตัว ขณะที่ยังมีความเสี่ยงอยู่ที่สินค้าคงคลังลดลงต่อเนื่อง แต่อาจกลับมาได้ เพราะหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มลดลแม้ยังคงอยู่ในระดับสูง

“เงินดิจิทัลเฟสแรกที่ลงไปเกือบ 150,000 ล้านบาทนั้น มีผลกระตุกเศรษฐกิจได้น้อย เพราะถูกผลกระทบจากน้ำท่วมมาดูดออกไป ทำให้เติบโตสุทธิไม่มาก ซึ่งช่วงปลายปี รัฐควรมีมาตรการกระตุ้นต่อเนื่อง เช่น ช้อปดีมีคืน มาตรการคูณสองหรือคนละครึ่ง ส่วนปีหน้า ก็ต้องกระตุ้นต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจเกิดความคึกคัก ทั้งแจกเงินเฟส 2 มาตรการพักชำระหนี้ ที่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อเอสเอ็มอี และประชาชน”

คำปฏิเสธ: บทความนี้ทำซ้ำจากสื่ออื่น ๆ วัตถุประสงค์ของการพิมพ์ซ้ำคือการถ่ายทอดข้อมูลเพิ่มเติมไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์นี้เห็นด้วยกับมุมมองและรับผิดชอบต่อความถูกต้องและไม่รับผิดชอบใด ๆ ตามกฎหมาย แหล่งข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์นี้ได้รับการรวบรวมบนอินเทอร์เน็ตจุดประสงค์ของการแบ่งปันคือเพื่อการเรียนรู้และการอ้างอิงของทุกคนเท่านั้นหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาโปรดส่งข้อความถึงเรา
©ลิขสิทธิ์2009-2020 ข่าวการเงินกรุงเทพธุรกิจ      ติดต่อเรา   SiteMap