‘บีโอไอ’ เผยลงทุน 9 เดือนปีนี้ แตะ 7.2 แสนล้าน สูงสุดรอบ 10 ปี
2024-10-22 HaiPress
'บีโอไอ' เผย ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน 9 เดือน ปี 2567 โต 7.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนตัวเลขลงทุนพุ่งสูงสุดรอบ 10 ปี
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในช่วง9เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม–กันยายน) ตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวน2,195โครงการ เพิ่มขึ้น 46%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม722,528ล้านบาท เพิ่มขึ้น42%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ10ปี สะท้อนถึงศักยภาพและพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีของประเทศไทย รวมทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อนโยบายรัฐบาลและมาตรการสนับสนุนของรัฐ
ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนเชิงรุกของรัฐบาลและบีโอไอ ได้ทำให้เกิดการลงทุนโครงการใหญ่ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ จำนวนมาก เช่น เซมิคอนดักเตอร์และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน และพลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งพัฒนาระบบนิเวศและปัจจัยที่จะส่งผลต่อการลงทุนในห้วงเวลาสำคัญที่มีกระแสเคลื่อนย้ายฐานการผลิตโลก เช่น การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะรองรับเทคโนโลยีใหม่ กลไกจัดหาพลังงานสะอาดในราคาที่เหมาะสม พื้นที่รองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ การปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน เป็นต้น
กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่า183,444ล้านบาท
ดิจิทัล มูลค่า94,197ล้านบาท
ยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า67,849ล้านบาท
เกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า52,990ล้านบาท
ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มูลค่า34,341ล้านบาท
ขณะที่กิจการที่มีการลงทุนสูงและอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น
–กิจการData Centerจำนวน 8 โครงการ เงินลงทุนรวม 92,764 ล้านบาท โดยมีการลงทุนจากบริษัทรายใหญ่สัญชาติอเมริกัน ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง และอินเดีย
–กิจการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ได้แก่ การผลิตWafer,การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์,
การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวม จำนวน15โครงการ เงินลงทุนรวม 19,856 ล้านบาท
– กิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB)และวัตถุดิบสำหรับPCBจำนวน 55 โครงการ เงินลงทุนรวม 61,302 ล้านบาท
– กิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ จำนวน 13 โครงการ เงินลงทุนรวม 38,973 ล้านบาท
–กิจการผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ ระบบอัตโนมัติ และเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง จำนวน 117 โครงการ เงินลงทุนรวม 30,515 ล้านบาท
– กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จำนวน351โครงการ เงินลงทุนรวม 85,369 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI)ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน1,449โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 เงินลงทุนรวม546,617ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ38โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์180,838ล้านบาท จีน114,067ล้านบาท ฮ่องกง68,203ล้านบาท ไต้หวัน44,586ล้านบาท และญี่ปุ่น35,469ล้านบาท ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนที่บริษัทแม่สัญชาติจีนและสหรัฐอเมริกาในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และData Centerนำบริษัทลูกที่จดจัดตั้งในสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ส่วนในแง่พื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก408,737ล้านบาท รองลงมาได้แก่ ภาคกลาง220,708ล้านบาท ภาคเหนือ 35,452 ล้านบาท ภาคใต้25,039ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ23,777 ล้านบาทและภาคตะวันตก8,812ล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากนี้การขอรับส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry)ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายเดิมให้สามารถปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 287 โครงการ เงินลงทุนรวม 27,318 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานทดแทน รองลงมาคือ ด้านการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในสายการผลิต
สำหรับการออกบัตรส่งเสริม ในช่วง9เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 2,072 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเงินลงทุน 672,165ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 101เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งการออกบัตรส่งเสริมเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด โดยปกติบริษัทต่าง ๆ จะเริ่มทยอยลงทุนภายใน 1 – 3 ปี หลังจากออกบัตรส่งเสริม
“ทิศทางการลงทุนในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า ยังคงมีแนวโน้มเติบโต แต่สิ่งที่บีโอไอให้ความสำคัญมากกว่าตัวเลขเม็ดเงินลงทุน คือคุณภาพของโครงการ และประโยชน์ที่คนไทยจะได้รับ ซึ่งตอนนี้เป็นจังหวะเวลาสำคัญของประเทศไทยที่จะสามารถสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ช่วยต่อยอดฐานอุตสาหกรรมเดิมให้มั่นคง สร้างมูลค่าจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างงาน สร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทย โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติจากบีโอไอในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 จะมีการจ้างงานบุคลากรไทยเพิ่มกว่า 1.7 แสนคน จะใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศประมาณ 8แสนล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มมูลค่าส่งออกของประเทศอีกกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี” นายนฤตม์ กล่าว